จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล



เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล
หากพูดถึงผลไม้ที่ชื่อว่า ‘อินทผลัม‘ หลายคนคงนึกถึงผลไม้ที่มีราคาสูง ซึ่งบางสายพันธุ์มีราคาสูงกว่าหนึ่งพันบาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว โดยผลไม้ชนิดนี้จัดเป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีมากกว่า 30 สายพันธุ์ และมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีการเพาะปลูกมาหลายปีแล้ว

วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ได้มีโอกาศเดินทางไปพบกับคุณปรีชา ธรรมเชาวรัตน์ อายุ 77 ปี เจ้าของ ‘สวนอินทผลัมปรีชา‘ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งได้หันมาปลูก ‘อินทผลัม’ ส่งขายทั้งแบบเพาะเนื้อเยื้อ และจำหน่ายทั้งลูกอินทผลัม
โดยคุณปรีชา เปิดเผยว่าได้อยู่ในแวดวงเกษตรมานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งแต่ก่อนทำไม้ดอกไม้ประดับนั้นคือสวนชวนชมลีลาวดี จนสร้างชื่อเสียงได้อย่างกว้างขวางเป็นที่รู้จักก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัว จนหันมาศึกษาเรื่อง ‘อินทผลัม‘ เมื่อช่วงปี 2557 โดยได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานจากสวนต่างๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งเหตุผลที่เลือกอินทผลัมนั้น เพราะนอกจากจะเป็นพืชที่มีราคาดีแล้ว ยังเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีสรรพคุณนานาชนิด
แรกเริ่มนั้นคุณปรีชาได้ลงทุนซื้อต้นอินทผลัมมาจำนวน 200 ต้น มูลค่าประมาณ 4 แสนบาท เริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2557 และเริ่มให้ผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคมปี 2558 แต่ยังไม่เป็นที่พอใจนัก เนื่องจากต้นอินทผลัมที่เพาะเลี้ยงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเพศผู้ ซึ่งจะออกแต่ดอกเพื่อนำมาใช้ผลิตเกสรนำไปผสมเท่านั้น จึงหันมานำเข้าต้นอินทผลัมที่ผ่านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้ามาปลูกโดยสั่งมาจากต่างประเทศ
โดยต้นที่มาจากการเพาะเนื้อเยื้อนั้นจะได้เพศตามที่ต้องการชัดเจน ผลผลิตและเรื่องรสชาติก็จะได้เหมือนตามต้นแม่อีกด้วย แต่ก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามขนาดไซส์ โดยคุณปรีชาจะน้ำเนื้อเยื้อมาอนุบาลจนกระทั่งมีราก ความสูงของต้นประมาณ 30 เซนติเมตร ก็สามารถนำลงปลูกได้แล้ว
ซึ่งเทคนิคการปลูกอินทผลัมของคุณปรีชาจะปลูกเว้นระยะแต่ละต้น 7 เมตร หรือถ้าคิดตามสัดส่วน 1 ไร่ สามารถลงปลูกได้ประมาณ 30 ต้น เพศผู้ประมาณ 3-4 ต้น ไว้เอาเกสรผสมพันธุ์กับเพศเมีย และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการผสมพันธุ์นั้นจะนำเกสรที่ได้จากตัวดอกซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้ง นำมาผสมกับแป้งเด็ก(ที่ไม่มีกลิ่น) เกสร 1 ส่วน แป้งเด็ก 5 ส่วน แล้วน้ำไปพ่นตามช่อของต้นเพศเมียในช่วงก่อนเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม  โดยที่สวนของคุณปรีชาจะเน้นปลูกสายพันธุ์บาฮี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่นิยมกินผลสดมีรสชาติหวาน มีหลายๆประมาณให้การยอมรับว่าสายพันธุ์นี้เมื่อมาเพาะปลูกที่ประเทศไทยมีรสชาติที่ดีกว่าหลายประเทศ

     อินทผลัมเมื่อลงปลูกแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี 4 เดือน ถึง 2 ปี ก็สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว เฉลี่ยจะให้ต่อต้นประมาณ 80 กิโลกรัม ยิ่งอายุต้นมากขึ้นก็ยิ่งให้ผลผลิตมากขึ้นเช่นกัน โดยอายุ 10-50 ปี นั้น สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 400 กิโลกรัมต่อต้นเลยทีเดียว ราคากิโลกรัมที่ขายอยู่ตอนนี้ตกกิโลกรัมละ 500-600 บาท (ผลสดสายพันธุ์บาฮี)
ทั้งนี้สวนของคุณปรีชาจำหน่ายต้นอินทผลัมแบบเพาะเนื้อเยื้อไซส์อนุบาลต้นละ 1,500-1,600 บาท อายุ 5-6 เดือน ต้นละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งในบางช่วงจะมีลูกค้ามาเหมาจำนวนหลายต้นกว่า 30-40 ต้นต่อรอบ อย่างไรก็ตามคุณปรีชายังระบุด้วยว่าอินทผลัมในประเทศ ณ ขณะนี้สามารถทำได้เนื่องจากยังมีเกษตรกรที่หันมาทำจำนวนไม่มากนัก ถือได้ว่าเป็นพืชผลไม้ทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้อย่างงอกงาม
ทั้งนี้หากใครที่สนใจอยากปลูกอินทผลัม หรือต้องการไปเลือกซื้อทั้งแบบเป็นต้น หรือเป็นผลแล้ว ก็สามารถเดินทางไปได้ที่ ‘สวนอินทผลัมปรีชา’ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 081-309-6086, 087-320-5009 (คุณปรีชา)
บทความและภาพโดย ธเนตร พุทธิตระกูล
ต้นอนุบาลที่มีรากแล้ว
ผลสดของอินทผลัมสายพันธุ์บาฮี
ต้นอินทผลัม

ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว…อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี



ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว…อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี
ลุยสวนฝรั่งบ้านแพ้ว ...อยู่กับฝรั่งเดือนเดียวมีรายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี

เรื่องจริงไปพิสูจน์มาแล้ว …ความเดิมก็คือว่าได้อ่านข้อเขียนของคุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง จากนิตยสารรักษ์เกษตรได้เขียนเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการปลูกฝรั่งพันธุ์กิมจู ก็ทำให้เกิดความสนใจ ยิ่งแปลงปลูกอยู่อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกไม้ผลหลายชนิด ก็ยิ่งทำให้ต้องรีบไปดูในทันที…อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนก็คือว่า ฝรั่งกิมจูสวนนี้ได้รับรางวัลทั้งชนะเลิศ รองชนะเลิศ ในการประกวดฝรั่งกิมจูงานเกษตรแฟร์ประจำปี 59 สดๆร้อนๆเลยละ
เกษตรก้าวไกลดอทคอม ลุยสวนฝรั่งกิมจู...รางวัลชนะเลิศงานเกษตรแฟร์ 59
เกษตรก้าวไกลดอทคอม ลุยสวนฝรั่งกิมจู…
เธอเป็นใครมาจากไหนและทำไมต้องมาปลูกฝรั่ง? “หลังจากเรียนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก็เข้าทำงานบริษัทในเมืองได้ไม่นานนัก ก็ลาออกมาช่วยพ่อแม่ทำสวน  ซึ่งที่บ้านทำสวนกว่า 30 ไร่ พืชหลักที่ปลูกก็คือมะม่วง แซมด้วยชมพู่ และฝรั่ง แต่หลังจากที่ได้มาลองทำเองก็เห็นได้ว่าพืชที่ปลูกทั้งหมด ฝรั่งน่าสนใจที่สุด เพราะมะม่วงที่ทำมานานนั้นพื้นที่ 30 ไร่ มีรายได้เพียงปีละ 2-3 แสนบาทเท่านั้น เพราะเป็นมะม่วงพันธุ์ทั่วไปที่เน้นขายป้อนตลาดขายส่ง ขณะที่ฝรั่งสามารถให้ผลผลิตเร็ว เพียง 8 เดือนก็จะสามารถตัดลูกชุดแรกได้แล้ว อีกทั้งผลตอบแทนก็สูง จึงตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่สวนที่ปลูกพืชหลายอย่างมาเน้นหนักฝรั่งและปลูกฝรั่งมาตลอด”
ครอบครัวฝรั่งกิมจู
ครอบครัวฝรั่งกิมจู

ฝรั่ง 10 ไร่ ทำเงินล้าน/ต่อปี จึงขยายเป็น 24 ไร่

ชาวสวนหลายคนที่ทำสวนฝรั่งอาจไม่ได้เก็บข้อมูลตัวเลขการลงทุนและรายได้ แต่คุณวราภรณ์เก็บข้อมูลไว้หมด ซึ่งทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนของการทำสวนฝรั่งได้เป็นอย่างดี เธอบอกว่า ฝรั่งเป็นพืชที่ให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว โดยจะมีผลผลิตชุดใหญ่ๆอยู่ประมาณ 3 ชุดต่อปี อย่างชุดตรุษจีนที่ผ่านมาซึ่งเป็นชุดใหญ่ พื้นที่ 10 ไร่ สามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 44,000 กก. ในช่วงเวลาการเก็บ 5-6 วัน(หมดชุด)ราคาช่วงนั้น 25-35 บาท/กก. ชุดเดียวทำเงินไปเฉียด 1 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยฝรั่ง 10 ไร่จะลงทุนต่อ 1 ชุดเพียงแสนกว่าบาทเท่านั้น
“คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกเป็นชาวสวน เพราะรายได้จากการปลูกฝรั่งเพียงเดือนเดียวมันมากกว่ารายได้ที่ทำงานบริษัททั้งปีซะอีก…สุดท้ายได้ขยายพื้นที่ปลูกฝรั่งถึง 24 ไร่ จากทั้งหมด 30 ไร่ ที่เหลือก็แบ่งไปปลูกพืชอย่างอื่นนิดหน่อย”

วางแผนการผลิตให้ตรงกับช่วงแพง

แปลงปลูกฝรั่งของคุณวราภรณ์จะมีอยู่ 2 แปลง แปลงหนึ่ง 14 ไร่ อีกแปลง 10 ไร่ เธอบอกว่า พืชทุกชนิดจะมีช่วงราคาถูก แพงในรอบปี ฝรั่งก็เช่นเดียวกัน มักจะมีราคาถูกในช่วงหน้าร้อนต่อต้นฝนหรือเดือน มี.ค.-มิ.ย. ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้บ้านเรา เป็นที่รู้กันว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุดบุกตลาด เมื่อนั้นผลไม้ชนิดอื่นแทบหมดความสำคัญ และช่วงนั้นจะเป็นช่วงราคาตกต่ำของผลไม้ ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับราคาช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงที่จะให้มีผลผลิตเก็บขายได้ช่วงนี้ ดังนั้นช่วงนี้คุณวราภรณ์จะไม่ห่อผลฝรั่งเลย เพราะว่าราคาฝรั่งจะไม่ไกลไปกว่า 10 บาท/กก. (ราคาหน้าสวน)
ส่วนช่วงที่ฝรั่งมักมีราคาแพงจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้ชนิดไหนออกสู่ตลาดอย่างช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ช่วงนั้นราคาฝรั่งจะสูงถึง 30-40 บาท/กก. (หน้าสวน) กับอีกช่วงคือ ม.ค.-ก.พ.ซึ่งมีเทศกาลต่างๆมาก การวางแผนจะให้ฝรั่งเก็บได้ช่วงไหนก็นับย้อนไป 5 เดือนแล้วโน้มกิ่งให้ฝรั่งแตกยอดใหม่เพื่อที่จะให้ผลผลิต หรือนับจากห่อผลก็ 3 เดือนสามารถเก็บเกี่ยวได้
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

เทคนิคการดูแลสวนฝรั่งเพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพ

คุณวราภรณ์เล่าถึงการดูแลฝรั่งที่สวนว่า ฝรั่ง 1 ไร่ สามารถปลูกได้ 150-200 ต้น ขึ้นกับสภาพพื้นที่ปลูก และระยะปลูก ที่ปลูกเป็นแบบยกร่อง เนื่องจากเป็นเขตที่ลุ่ม ขนาดร่อง 2 เมตร บนร่องปลูก 2 แถว แบบสลับฟันปลา ระยะปลูกประมาณ 1.5 เมตร ฝรั่งจะเริ่มเก็บได้เมื่ออายุ 8 เดือนหลังปลูก โดยในรอบ 1 ปี จะทำชุดใหญ่ 3 ชุด โดยชุดที่จะมีราคาแพงที่สุดจะเป็นชุดที่เก็บเกี่ยวเดือน ส.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นฝรั่งที่จะต้องโน้มกิ่งในช่วงต้นเดือนมีนาคม การโน้มกิ่งฝรั่งจะทำให้ฝรั่งแตกยอดพร้อมกับออกดอกบนกิ่งที่โน้ม โดยจะโน้มกิ่งให้ราบขนานกับพื้นแล้วผูกมัดกิ่งกับหลักไม้ไผ่ พร้อมกับตัดปลายกิ่งเพื่อหยุดการแตกยอดหรือหยุดการเจริญเติบโตของยอดหรือที่ชาวสวนเรียกการหักยอด หรือขลิบยอด ซึ่งฝรั่งจะติดดกหรือไม่นั้นก็ขึ้นกับความสมบูรณ์ของต้น
“หลักการของเราคือต้องดูแลให้ฝรั่งมีต้นสมบูรณ์ตลอดทั้งปี โดยหลังจากโน้มกิ่งแล้วจะใส่ปุ๋ย 25-7-7 พื้นที่ 10 ไร่ ใส่ประมาณ 3 กระสอบ หลังจากนั้นอีก 15 วัน ใส่ 16-16-16 อัตราเดิม เมื่อผลโตขนาดเท่าผลส้มจะเปลี่ยนมาใส่ขี้ค้างคาวอัดเม็ดและปุ๋ยอินทรีย์เคมีอัดเม็ดที่มีธาตุอาหารแคลเซียม แมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ(ไบโอฟีด ของ เคโมคราฟ) ซึ่งจะทำให้ฝรั่งผิวสวย ฝรั่งผิวออกขาว ไม่เขียวและรสชาติหวาน กรอบ เนื้อฟู ทางใบพ่นน้ำส้มควันไม้อย่างต่อเนื่องทุก 7-10 วัน เพื่อช่วยในด้านการเจริญเติบโต ความสมบูรณ์ของต้นและยังช่วยป้องกันแมลงอีกด้วย”
    นอกจากนี้จะต้องพ่นแคลเซียม-โบรอนไม่ให้ขาด จะช่วยทั้งเรื่องเพิ่มความสมบูรณ์ของดอก เพิ่มการติดผลดก ขั้วเหนียว ผลกรอบ รสชาติหวาน และช่วงใกล้เก็บเกี่ยวเสริมน้ำตาลทางด่วนเพื่อเพิ่มรสชาติช่วยอีกแรง นอกจากนี้จะมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อช่วยปรับสภาพโครงสร้างดินเป็นระยะๆ ปีละ 3 ครั้ง การพ่นสารเคมีกำจัดโรค-แมลง จะพ่นหนักหน่อยในช่วงก่อนห่อผล 7 วันหลัง แต่หลังห่อผลแล้วก็จะพ่นห่างหน่อย สารเคมีที่ใช้ก็จะเป็นยาพื้นๆ อย่างคลอร์ไพรีฟอส ไซเปอร์เมทริน เมโทมิล สารกำจัดเชื้อราก็ใช้เพียงแมนโคเซ็บ คาร์เบนดาซิม นอกจากว่าเจอโรค-แมลงที่หนักๆ จึงจะใช้ยาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไรรุนแรง ส่วนการให้น้ำจะให้ 2 วันครั้ง ช่วงร้อนๆอย่างนี้จะให้น้ำทุกวัน…
การห่อผลเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นมากๆ “เมื่อผลขนาดเท่าเหรียญ 10 บาท จะห่อผลเพื่อป้องกันแมลงวันทองโดยใช้ถุงพลาสติกที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันแมลงวันทองโดยเฉพาะ แล้วห่อทับด้วยกระดาษอีกชั้นเพื่อให้ผิวสวย…. ฝรั่ง 1 ต้น จะห่อไม่เกิน 100 ลูก ถ้าเลือกไว้ผลมากเกินไป จะทำให้ผลมีขนาดเล็กได้”
เรื่องแรงงานก็เป็นเรื่องสำคัญ เห็นกำลังตัดและคัดฝรั่งอยู่หลายคน “ฝรั่งเป็นพืชที่ต้องใช้แรงงานเยอะอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงโน้มกิ่ง จะหนักหน่อยก็ช่วงห่อ ฝรั่ง 10 ไร่ วันหนึ่งต้องห่อ 7-8 คน และต้องห่อ 2-3 วันจึงจะเสร็จ ถ้าให้เสร็จวันเดียวต้องจ้างมากถึง 20-25 คน และต้องเป็นแรงงานที่มีความชำนาญด้วย อีกช่วงคือ ช่วงเก็บฝรั่งก็ใช้ 4-5 คน”
เอาใจใส่...ดูแลอย่างดี
ฝรั่งที่นี่ดูแลเอาใจใส่อย่างดี

ฝรั่งมีอายุ 5-6 ปี ก็จะรื้อแปลงปลูกใหม่

ฝรั่งที่ปลูกจะมีอายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 5 ปี ต้นก็จะเริ่มโทรมการให้ผลผลิตก็จะสู้ต้นสาวๆ หรือต้นอายุน้อยๆไม่ได้ ประกอบกับหลายสวนมีปัญหาฝรั่งตายต้นจากไส้เดือนฝอย แต่ที่สวนยังไม่มีปัญหา เราจะต้องปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ ร่วนซุย ไม่มีความเป็นกรดมากเกินไปก็จะช่วยลดความรุนแรงของการระบาดลงไปได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้ชาวสวนฝรั่งมักจะรื้อแปลงปลูกใหม่เมื่อฝรั่งอายุ 5-6 ปี จึงทำให้เราเห็นแปลงฝรั่งแปลงใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดในพื้นที่เขตนี้
ฝรั่งที่ปลูกใหม่จะใช้กิ่งตอนที่เลือกตอนจากกิ่งกระโดงที่สมบูรณ์ โดยที่สวนของคุณวราภรณ์ได้ทำกิ่งพันธุ์ขายด้วย (แต่ช่วงนี้กิ่งฝรั่งขาดแคลน ต้องสั่งจองล่วงหน้า) ราคากิ่งพันธุ์ที่จำหน่าย 12 บาท/กิ่ง กรณีพื้นที่ปลูก 1 ไร่ ประมาณ 150-200 ต้น ซึ่งลงทุนเพียง 2,000 กว่าบาทต่อไร่ ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับพืชอย่างอื่น อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดูแลไม่มาก แต่ผลตอบแทนสูงมาก ชาวสวนเขตนี้จึงยังปักหลักปลูกฝรั่งมาตลอดหลายสิบปี ยิ่งช่วง 4-5 ปีมานี้ราคาฝรั่งดีมาก ทำให้คนที่เคยปลูกพืชอื่นหันมาปลูกฝรั่งกันมากขึ้น และแพร่กระจายไปในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าราคาฝรั่งอาจจะตกลงมาบ้าง
แต่เมื่อสรุปสุดท้ายก็ยังดีกว่าพืชหรือไม้ผลตัวอื่นๆ เพราะฝรั่งยังแปรรูปได้และเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพนั่นเอง
ขอบคุณ : ข้อมูลเดิมจากกลุ่มเกษตรก้าวใหม่ new  โดย Rakkaset Nungruethail (คุณหนึ่งฤทัย แพรสีทอง) บรรณาธิการ นิตยสารรักษ์เกษตร
หมายเหตุ : สวนฝรั่งคุณวราภรณ์ ขุนพิทักษ์ โทร. 087 9981131

มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อเดือน



มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อเดือน

มะเฟือง ผลไม้สุขภาพ สร้างรายหลักแสนต่อเดือน

mcotสนับสนุนเนื้อหา
     เกษตรกร อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม หันมาปลูกมะเฟือง หรือสตาร์ฟรุต ผลไม้ที่มีวิตามินหลายชนิด กำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มคนรักสุขภาพ แต่ละเดือนมีพ่อค้าแม่ค้ามาสั่งจองล่วงหน้า
     คนงานในสวนพี่สุรพิณ เร่งเก็บผลมะเฟือง หรือสตาร์ฟรุต ที่สุกได้ขนาด โดยเลือกผลที่มีลักษณะเขียวอมเหลือง ไม่สุกจัดจนเกินไป มะเฟืองสวนนี้เป็นสายพันธุ์มาจากมาเลเซีย พันธุ์บี17 จะให้ลักษณะผลที่ใหญ่กว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม อีกทั้งยังมีรสชาติที่หวานเป็นที่ต้องการของตลาด
     พี่สุรพิณบอกว่า มะเฟืองเป็นผลไม้ที่ดูแลง่าย มีเทคนิคให้ออกผลดกคือต้องปลูกห่างกันต้นละ 3 เมตร พื้นที่ระหว่างต้นต้องรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันแมลง รดน้ำเพียงวันละครั้ง เมื่อผลมะเฟืองออกมาขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ใช้ถุงพลาสติกห่อป้องกันแมลง ใส่ปุ๋ยชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมีทุก 30 วัน ที่สำคัญคือการใช้เกลือช่วยปรับปรุงดิน
     ในทุกเดือนสวนมะเฟืองแห่งนี้จะมีพ่อค้าแม่ค้าติดต่อสั่งจองผลผลิตมาอย่างต่อเนื่อง ราคาขายหน้าสวนอยู่ที่กิโลกรัมละ 20 -25 บาท ในเนื้อที่ 10 ไร่สามารถสร้างเม็ดเงินได้ถึงหลักแสนบาทต่อเดือน
     ในมะเฟือง 1 ผล อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน.



ที่มา : http://money.sanook.com/312103/

บวบงูเงินแสน



บวบงูเงินแสน

บวบงูเงินแสน

mcotสนับสนุนเนื้อหา
ชาวบ้านหลายครอบครัวใน อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น หันมาปลูกบวบงู เป็นทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม โดยมีพ่อค้าคนกลางไปรับซื้อถึงบ้าน ทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดี

สองฟากฝั่งริมคลองย่อยแม่น้ำพอง บ้านหนองแสง ต.ท่ากระเสริม เป็นหนึ่งในหมู่บ้านเขต อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ที่ชาวบ้านปลูกบวบงูเป็นจำนวนมาก ทั้งยึดเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริม บวบงูมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น บ้างก็ว่า หมากป้องแป้ง หมากโงงิ้วหรือกระดิ่ง เป็นต้น โดยคนนิยมนำไปลวกกินกับน้ำพริก แม่หู้ สมบัติมี ปลูกบวบงูมากว่า 10 ปีแล้ว ราคาต่ำสุดที่เคยประสบคือกิโลกรัมละ 7 บาท
ปัจจุบันพ่อค้ามารับซื้อที่บ้านให้กิโลกรัมละ 10-12 บาท หากปีใดบวบงูขาดตลาดจากปัญหาน้ำท่วม ราคาจะพุ่งสูงกว่าเท่าตัว เคยได้ราคาสูงสุดถึงกิโลกรัมละ 24 บาท แม่หู้ใช้ที่ดิน 8 ไร่ หมุนเวียนปลูกบวบงูตลอดทั้งปี โดยปลูกครั้งละ 2 ไร่ ลงทุนหมื่นเศษ ขายผลผลิตได้รุ่นละ 50,000-60,000 บาท

จากต้นอ่อนอายุ 4 วัน ลงแปลงปลูกยกร่องไม่ให้น้ำท่วมขัง เถาของมันก็จะแตกยอดเลื้อยเกาะเกี่ยวไปตามค้างอย่างรวดเร็ว เพียงเดือนครึ่งก็ได้เก็บผลผลิตไปจำหน่าย หลังจากนั้นบวบงูจะทยอยออกให้เก็บทุกวันตลอด 2 เดือน พื้นที่ราว 2 ไร่ จะเก็บได้ถึงวันละกว่า 100 กิโลกรัมเดือนที่ 3 ใกล้หมดรุ่น จึงได้เก็บแบบวันเว้นวัน เกษตรกรรายนี้พอใจอย่างมากที่มีเงินเข้ากระเป๋าทุกวัน วันละกว่า 1,000 บาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ดีกว่าพืชผักหลายชนิด
ทุกอย่างล้วนมีอุปสรรค หากบวบงูรุ่นใดถูกศัตรูพืชโจมตีหนัก แล้วเกษตรกรดูแลไม่ดีพอก็มีสิทธิ์ขาดทุนได้เช่นกัน บวบงูต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดในทุกช่วงการเจริญเติบโตเพื่อความสมบูรณ์ นำมาสู่ดอกผลตอบแทนเกษตรกรอย่างเต็มที่.-สำนักข่าวไทย


ที่มา : http://money.sanook.com/313877/

“มัลเบอร์รี” ปลูกง่าย กำรายได้ต่อเดือนถึง 60,000 บาท!!!




“มัลเบอร์รี” ปลูกง่าย กำรายได้ต่อเดือนถึง 60,000 บาท!!!

มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน ผลไม้เทรนด์ใหม่เพื่อสุขภาพ รักษาสารพัดโรค ปลูกง่าย ให้ผลผลิตต่อเนื่อง สร้างรายได้ต่อเดือนกว่า 60,000 บาท
       สวนพ่อสุรวุฒิ ตั้งอยู่ที่ ต.หลักสอง อ.บ้านแพ้ว สมุทรสาคร บริหารงานโดยคุณฐิติมา แท่นนิล และครอบครัว เจ้าของสวนมัลเบอร์รีและศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตำบลหลักสอง  โดยคุณฐิติมาได้เล่าถึงที่มา ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ในการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ให้ฟังว่า
   “เป็นเกษตรกรมาตั้งแต่แรก ปลูกพืชแบบผสมผสาน มีฝรั่ง มะนาว มะพร้าว กล้วย ทำโดยยึดหลักตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวงานเกษตรกำแพงแสน และได้ซื้อต้นมัลเบอร์รี หรือต้นหม่อน ติดมือกลับบ้านมา 2 ต้น โดยแบ่งกับพี่ชายคนละต้น ได้นำมาปลูกที่บ้านซึ่งต่อมาออกลูกดกจนกินไม่ทัน จึงเอาไปขายรวมกับผลผลิตอื่น ๆ  ซึ่งขายดี โดยลูกค้าที่มาซื้อได้บอกว่ามัลเบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง ช่วยลดสารก่อมะเร็ง นำไปปั่นเป็นน้ำแล้วให้ผู้ป่วยมะเร็งดื่มสามารถช่วยรักษาโรคได้ ซึ่งตัวเรากับสามีก็คิดว่าในเมื่อปลูกง่ายและขายดี มีคนซื้อ จึงปลูกเพิ่ม จากต้นเดียวกลายเป็นหลักสิบต้น ขายดีขึ้นเรื่อย ๆ จากกิโลกรัมละ 80 จนเป็น 200 บาทที่ราคาหน้าสวน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพืชหลักที่ทำรายได้ให้กับครอบครัวเพราะขายส่งรวมทั้งแปรรูปได้ราคาดี”
ซึ่งประโยชน์และคุณค่าของมัลเบอร์รีนั้น คุณฐิติมาอธิบายว่า
ควบคุมความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ควบคุมเบาหวาน
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง
มีวิตามิน B6 ช่วยบำรุงเลือด ลดการเกิดสิวและปวดประจำเดือน
มีวิตามิน C สูง ป้องกันโรคภูมิแพ้ โรคปอด วัณโรค ป้องกันเชื้อไวรัส
ช่วยบำรุงให้เส้นผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย
ในปัจจุบันสวนพ่อสุรวุฒิขยายการปลูกมัลเบอร์รีเป็น 300 ต้น ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ โดยผลผลิตที่ได้กระจายขายไปทั่วในเขตภาคกลาง สร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ
    “ซึ่งวิธีการปลูกนั้นไม่ยาก สามารถปลูกได้ทั่วไป โดยสายพันธุ์ของเราคือ “กำแพงแสน 42” ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีลูกดก รสชาติหวาน เติบโตง่าย เหมาะกับพื้นที่ในเขตภาคกลาง โดยใช้กิ่งชำในการปลูก เว้นระยะห่างประมาณ 2-3 เมตรต่อต้น ปลูกทิ้งไว้โดยไม่ต้องดูแลอะไรมาก ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ช่วงที่แตกใบอ่อนฉีดยาบำรุงที่เป็นชีวภาพแค่ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ ปลูกครบ 7-8 เดือนจะออกผลผลิตให้เก็บได้ หลังจากออกผลผลิตแล้วให้ตัดแต่งกิ่ง จากนั้นเว้นช่วง 3 เดือน ก็จะออกผลผลิตในครั้งต่อไป ซึ่งในสวนของเราปลูกเยอะถึง 300 ต้น จะออกลูกหมุนเวียนกันไปทำให้เก็บผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
   โดยตอนนี้จำหน่ายที่ กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ และยังมีลูกค้าที่มารับจากสวนเพื่อไปขายต่อตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยราคาที่ขายอยู่นั้นจะอยู่ที่ 240-300 บาท แล้วแต่สถานที่ แต่สำหรับคนที่มาเที่ยวสวน ซึ่งเราเปิดเป็นที่เที่ยวด้วย จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาท ส่วนแม่ค้าที่มารับไปขายต่อ หากซื้อ 10 กิโลกรัมขึ้นไปจะอยู่ที่ 180 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง เพราะทางสวนมีค่าใช้จ่ายในการจ้างคนเก็บ ซึ่งค่าจ้างตรงนี้จะอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลฯ วันหนึ่งจะเก็บได้ประมาณ 8 กิโลฯ ดังนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานอยู่ที่ 300 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งรายได้แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรอยู่ที่ 60,000-70,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่น่าพอใจสามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้อย่างสบาย”
    ข้อดีของมัลเบอร์รีคือปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก แต่จะมีปัญหาบ้างเช่นกันในเรื่องของการเก็บเกี่ยว เพราะให้ผลผลิตจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 1 ตันในแต่ละเดือน ซึ่งเวลาเก็บนั้นจะเว้นได้แค่ 2 วัน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้คาต้นก็จะเกิดเชื้อรา ต้องเก็บออกจากต้นทุก 2 วัน ไม่เกิน 3 วัน ส่วนในเรื่องการตลาดนั้นก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะเป็นผลไม้ที่อายุน้อยวันที่สุด หากเก็บวันนี้ต้องขายให้หมดภายในวันถัดไป ถ้าไม่มีลูกค้ามาซื้อจะเน่าเสียหาย จึงต้องนำมาแปรรูป
    ซึ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปก็มีในส่วนของ น้ำมัลเบอร์รี สด 100% น้ำพร้อมดื่ม 30% โยเกิร์ตและแยมมัลเบอร์รี นอกจากนั้นยังส่งผลผลิตป้อนให้กับโรงงานเพื่อทำไส้ขนม และน้ำมัลเบอร์รีผสมว่านหางจระเข้ส่งออกนอก
และสำหรับคนที่สนใจ คุณฐิติมาแนะนำว่า
    “เบื้องต้นควรไปศึกษาเรื่องตลาดก่อน ว่าปลูกแล้วจะขายให้ใคร ขายที่ไหน เพราะหากมีผลผลิตออกมาแต่ไม่มีตลาดให้ขาย ก็มีแต่ขาดทุน และหากสนใจจริงควรเริ่มปลูกน้อย ๆ ก่อนประมาณไม่เกิน 10-20 ต้น อย่าลงเยอะเป็นร้อยต้นเพราะจะทำให้เสี่ยง เนื่องจากมัลเบอร์รีหากไม่มีลูกค้ามารับหรือไม่มีตลาดที่จะกระจายสินค้าออกไปจะไม่สามารถขายได้แน่นอน เพราะเป็นผลไม้ที่คนยังรู้จักน้อย กลุ่มลูกค้าค่อนข้างจำกัด เป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ต้องจับตลาดให้ถูก โดยกลุ่มลูกค้าที่สนใจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ โดยเฉพาะผู้หญิง หรือควรขายตามสถานที่ราชการ โรงพยาบาล”
ส่วนแนวทางการพัฒนาและต่อยอดในอนาคตนั้น คุณฐิติมามองว่า
    “อยากทำตรงนี้ต่อไปให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องการขยายพื้นที่ปลูกออกไปนั้นยังไม่ได้คิดเพราะเรายึดหลักพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบันก็ถือว่ามีความมั่นคงพอสมควร แล้วยังมีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น ม.เกษตร กำแพงแสน รวมทั้งโครงการหลวงต่าง ๆ มีงานให้ออกขายสินค้าตลอด ถือว่ายังดำเนินธุรกิจไปได้สวย คิดว่าจะสานต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ที่สวนยังเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Facebook : สวนพ่อสุรวุฒิ โทร.08-5179-9239
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษา Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สายด่วน 1333